บทความจากนิตยสารพืชพลังงาน ฉบับเดือนกันยายน 2558
ตลอดเวลาที่ผ่านมา “กลุ่มบริษัทปุ๋ยศักดิ์สยาม” ได้พยายามผลักดันเรื่องการผลิตปุ๋ยด้วยระบบ เบาท์เบรนดิ้ง (ปุ๋ยผสมแบบไม่ปั้นเม็ด) ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะเป็นระบบเดียวที่ได้มาตรฐานในการผลิตปุ๋ยได้ครบทุกสูตรเทียบเท่ากับปุ๋ยสั่งตัด ควบคู่ไปกับการคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีจากทั่วโลก การพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัย มีความแม่นยำสูง เพื่อให้ได้ปุ๋ย “ครบสูตรทุกกระสอบ” ช่วยเพิ่มปริมาณ และคุณภาพผลผลิต ทำให้เกษตรกรมีกำไรมากขึ้น
ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า “กลุ่มบริษัทปุ๋ยศักดิ์สยาม” นั้นเป็นผู้ผลิตรายแรกๆ ของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการผลิตปุ๋ยคุณภาพด้วยระบบเบาท์เบรนดิ้ง ภายใต้เทคโนโลยีที่ทันสมัยไปพร้อมๆ กับการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพเทคโนโลยีให้มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับการคัดสรรวัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพเข้าสู่กระบวนการผลิต จึงทำให้กลุ่มบริษัทปุ๋ยศักดิ์สยามขยับขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการได้อย่างเต็มภาคภูมิ และเตรียมเดินหน้าขยายกิจการและพัฒนาธุรกิจให้ก้าวไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้เกษตรกรทุกคนได้ใช้ปุ๋ยที่ดี มีคุณภาพ ครบสูตรทุกกระสอบ เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกร เมื่อให้แล้วดี ผลผลิตสูงขึ้น ก็ต้องมีกำไรมากขึ้น
นายทวีศักดิ์ สุทิน ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทปุ๋ยศักดิ์สยามฯ (ศักดิ์สยามกรุ๊ป) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทฯ จะมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพวัตถุดิบควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยครบสูตรแบบกระสอบต่อกระสอบ (50 กก.) นอกจากจะใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ มีแหล่งนำเข้าที่ชัดเจน และมีชื่อเสียง นำเข้ามานานหลายปี ผ่านการวิจัยฯ วิเคราะห์ ทดลองแล้วทั้งวัตถุดิบแม่ปุ๋ยสำหรับธาตุโปรแตสเซียม (MOP) จากเบราลุสและรัสเซีย วัตถุดิบแม่ปุ๋ยสำหรับธาตุฟอสฟอรัส (DAP) จากรัสเซียและซาอุฯ วัตถุดิบแม่ปุ๋ยสำหรับไนโตรเจน (ยูเรีย) จากอินโดฯ และตะวันออกกลาง โดยมีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบมากถึง 90% วัตถุดิบส่วนที่เหลือจะเป็นสารเติมเต็มที่ผลิตในประเทศและมีประโยชน์ต่อพืช
เพราะความมุ่งมั่นและกล้าคิด กล้าทำ ปุ๋ยที่ผลิตจากศักดิ์สบาม สามารถสร้างความต่างได้ ตามคำที่ว่า “แม่ปุ๋ยใครมีเงินก็ซื้อได้ ซื้อที่ไหนก็ได้ แต่กระบวนการผลิตและเทคโนโลยีคือหัวใจของเราที่จะทำให้ปุ๋ยมีคุณภาพ เราเน้นวัตถุดิบที่ดี เรากล้าลงทุนด้านเครื่องจักรและเทคโนโลยีมากถึง 20 กว่าล้านบาทเพื่อให้เครื่องจักรมีความแม่นยำสูง มีค่าของการเซทน้ำหนักที่ละเอียดมากที่สุด นอกจากวัตถุดิบแม่ปุ๋ยหลักๆ อย่าง N-P และ K แล้ว วัตถุดิบเสริมหลายตัว เช่น ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริมบางตัวที่ต้องใส่ลงไปในปุ๋ยสูตรเฉพาะ ที่วิจัยแล้วจำเป็นต้องใช้ ต้องใส่ทุกกระสอบ จำนวนเพียง 0.1-0.2% และมั่นใจว่าจะต้องมีอยู่ในทุกกระสอบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพปุ๋ยให้สูงขึ้น ถ้าเป็นระบบการผลิตแบบเดิม ครั้งละ 500-5,000 กิโลกรัมต่อครั้ง วัตถุดิบที่มีราคาแพงแต่ใส่น้อยจะกระจายไปในแต่ละกระสอบได้หรือไม่?” ผู้บริหารคนเก่งยืนยันถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีทุกๆ 5 ปี คุณภาพเครื่องจักรในระบบเซทน้ำหนักและกระบอกสูบต้องนำเข้าจากบริษัทที่มีชื่อเสียง เชื่อถือได้ อาจมีราคาสูง ขณะที่เครื่องจักรบางตัวก็สามารถหาซื้อได้ภายในประเทศ ควบคู่ไปกับการบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างดี เพื่อยืดอายุการใช้งานให้มากขึ้น รวมไปถึงการใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิตให้มีประสิทธิภาพให้ได้มาตรฐาน มี QC คอยตรวจสอบคุณภาพ มีบาร์โค๊ดทุกกรสอบที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ นี่คือผลจากการริเริ่มและผลักดัน “ระบบเบาท์เบรนดิ้ง” ทั้งในอดีตที่เห็นผลจนกระทั่งประสบความสำเร็จในวันนี้ ที่มีบริษัทปุ๋ยมากกว่า 10 บริษัทนำไปขยายผลต่อเพื่อพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ
คุณทวีศักดิ์ยอมรับว่ากลุ่มบริษัทปุ๋ยศักดิ์สยาม วันนี้สามารถผลิตปุ๋ยได้ครบทุกสูตรด้วยเทคโนโลยีในระบบเบาท์เบรนดิ้งที่มีความแม่นยำสูง เทียบเท่ากับการผลิต “ปุ๋ยสั่งตัด” ที่เหมาะกับการนำไปใช้กับพืชแต่ละชนิดทั้ง พืชไร่ พืชพลังงาน พืชสวนและนาข้าว และทุกสภาพดิน เนื่องจากการผลิตปุ๋ยแต่ละสูตรของที่นี่จะเน้นการเก็บตัวอย่างดินไปวิเคราะห์หาค่าความเหมาะสมของธาตุอาหาร ก่อนจะผลิตปุ๋ยแต่ละสูตรให้ตรงกับความต้องการของพืชแต่ละชนิดและธาตุอาหารที่มีอยู่ในดินในแต่ละพื้นที่เป็นหลัก ภายใต้เครื่องจักรที่สามารถปรับการผลิตปุ๋ยให้ได้ทุกสูตรตามต้องการ “คอนเซปเราเน้นว่าจะขายปุ๋ยอย่างไร? ให้เกษตรกรมีกำไร ต้องทำอย่างไร? ให้ผลผลิตเขาได้มากกว่าที่ตั้งไว้ เราจึงต้องพัฒนาปุ๋ยให้ดี ให้เกษตรกรได้ผลผลิตสูงได้กำไรมาก เกษตรกรก็จะนึกถึงเราเสมอ หัวใจหลักจริงๆ ตอนนี้เราต้องเอาข้อมูลจากประสบการณ์ทั้งหลายที่มีปัญหามาแก้ไขและพัฒนา” คุณทวีศักดิ์กล่าว
ปัจจุบันกลุ่มบริษัทปุ๋ยศักดิ์สยาม มีกำลังการผลิตประมาณ 280,000-300,000 ตัน/ปี ในปี 2558 นี้ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจไม่ดี ทั้งกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ตั้งแต่ไตรมาสแรกมาจนถึงวันนี้ บริษัทฯ มียอดขายสูงขึ้นประมาณ 4-5% และมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยแผนการตลาดที่ว่า “เราไม่รวยคนเดียว เราต้องรวยด้วยกัน แต่ต้องรวยด้วยอัตราส่วน” อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีความพร้อมในเรื่องเงินทุนหมุนเวียน มีการเงินที่มั่นคงและมีสถาบันการเงินคอยสนับสนุนมากกว่า 5 สถาบัน จึงมีแผนที่จะขยายธุรกิจให้มีความพร้อม เดินหน้าพัฒนาปรับปรุงในทุกๆ ด้าน ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังวิกฤติอยู่ในวันนี้เพราะถือว่า “วิกฤติคือโอกาส” ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเพิ่มกำลังการผลิต การผลิตปุ๋ยรบสูตรทุกกระสอบให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่และชนิดของพืช การสร้างพิพิธภัณฑ์เครื่องจักรและสำนักงานใหม่เพื่อเตรียมรองรับคณะตัวแทนจำหน่ายในทุกระดับและเกษตรกรที่จะเข้ามาเยี่ยมชมกระบวนการผลิตปุ๋ยภายในโรงงาน การสร้างที่พักบนเนื้อที่ 60 ไร่เพื่อรองรับแขกผู้มาเยี่ยมเยียนให้มีกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างความประทับใจ
ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นจะเห็นได้ว่าตราบใดที่ประชากรโลกยังต้องบริโภคอาหาร เกษตรกรซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารย่อมต้องใช้ปุ๋ยเพื่อการเจริญเติบโตและเพิ่มผลผลิตของพืช ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็จำเป็นต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ต้องพัฒนาให้ดีและล้ำหน้าคู่แข่งเสมอ เป็นธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน แต่การทำธุรกิจทุกอย่างย่อมมีปัญหา แต่อย่ายอมแพ้ต่อปัญหา ต้องกล้าเผชิญกับปัญหา มองวิกฤตให้เป็นโอกาส พัฒนาวันนี้เพื่อโอกาสที่ดีในวันข้างหน้า การบริหารทุกธุรกิจต้องมีการ “ได้เสีย” บริษํทต้องมีการบริหารทางการเงินที่ดี แบ่งสัดส่วนให้ชัดเจนทั้งเงินกองคลังเพื่อการปรับปรุงพัฒนาเงินเพื่อการลงทุนหรือต่อยอดธุรกิจ เงินเพื่อการส่วนตัว จึงจะทำให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้า เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคุณทวีศักดิ์ยอมรับว่าเป็นเสน่ห์ของธุรกิจนี้
อีกทั้งประเทศไทยเป็นเมืืองเกษตร ปีนี้น้ำแล้ง เกษตรกรเดือดร้อนอย่างหนักเพราะไม่มีน้ำเพื่อการเกษตร ดังนั้นทุกรัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับเรื่องน้ำ ต้องแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วม ภัยแล้งให้ได้ เพราะการทำเกษตร ถ้าสามารถบริหารจัดการน้ำได้ เกษตรกรจะได้ผลผลิตที่ดี ผลผลิตมีคุณภาพดี จำหน่ายและส่งออกก็ได้ราคาดี
ล่าสุดกลุ่มบริษัทปุ๋ยศักดิ์สยามได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศจีน โดยร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางการค้า คือบริษัท เพิ่มผลผลิต จำกัด และบริษัท กวางสี อีสเอเชีย ซูการ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกลุ่มบริษัทน้ำตาลมิตรผล ภายใต้การร่วมทุนมากกว่า 400 ล้านบาทเพื่อผลิตปุ๋ยคุณภาพสูง ด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย ในระบบการผลิตกระสอบต่อกระสอบ (50 กก.) ในนาม บริษัท กวางสี อีสเอเชีย ศักดิ์สยาม เฟอร์ติไลเซอร์ จำกัด (GEASF) มีกำลังการผลิตประมาณ 100,000 ตัน/ปี โดยมีแผนขยายกำลังผลิต เพิ่มอีก 100,000 ตันในเฟส 2 และมีกำหนดการในการเปิดตัวโรงงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 กันยายน 2558 ที่จะถึงนี้